สมมติฐานของพลังค์ (Planck's hypotheis)
ในปี ค.ศ. 1900 พลังค์ (Max Plank) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ได้ตั้งสมมติฐานเพื่ออธิบายการแผ่รังสีของวัตถุดำ มีใจความว่า พลังงานที่วัตถุดำรับเข้าไปหรือปล่อยมามีค่าได้เฉพาะบางค่าเท่านั้น และค่านี้จะเป็นจำนวนเท่าของ hf ซึ่งปริมาณ hf นี้เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน (quantum of energy)
โดยที่ h เป็นค่าคงตัว เรียกว่า ค่าคงตัวของพลังค์ (Plank constant) มีค่าเท่ากับ 6.63x10-34 จูลวินาที
และ f เป็นความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีหน่วยเป็นเฮิรตซ์
โดยที่ h เป็นค่าคงตัว เรียกว่า ค่าคงตัวของพลังค์ (Plank constant) มีค่าเท่ากับ 6.63x10-34 จูลวินาที
และ f เป็นความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีหน่วยเป็นเฮิรตซ์
จากสมมติฐานของพลังค์ เขียนได้ว่า
E = hf
เมื่อ E เป็นพลังงานมีหน่วยเป็นจูล
ดังนั้น ตามแนวความคิดของพลังค์ วัตถุดำจะรับหรือปล่อยก้อนพลังงานได้เป็นบางค่า เช่น hf, 2hf, 3hf,...และ nhf
เมื่อ n เป็นเลขจำนวนเต็มบวก
สมมติฐานของพลังค์สามารถใช้อธิบายการแผ่รังสีของวัตถุดำได้ แต่พลังค์และนักฟิสิกส์สมัยนั้นยังไม่แน่ใจในความถูกต้องของความคิดเกี่ยวกับควอนตัมของพลังงาน เนื่องจากความคิดใหม่นี้ขัดแย้งกับความรู้จากฟิสิกส์แผนเดิม (classical physics) ที่ยอมรับว่าพลังงานของการแผ่รังสีมีค่าอะไรก็ได้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1905 ไอน์สไตน์ประสบความสำเร็จในการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก โดยใช้ความคิดเรื่องควอนตัมของพลังงาน นักฟิสิกส์จึงยอมรับว่า พลังงานในการแผ่รังสีมีค่าไม่ต่อเนื่องตามแนวความคิดของพลังค์
ดังนั้น ตามแนวความคิดของพลังค์ วัตถุดำจะรับหรือปล่อยก้อนพลังงานได้เป็นบางค่า เช่น hf, 2hf, 3hf,...และ nhf
เมื่อ n เป็นเลขจำนวนเต็มบวก
สมมติฐานของพลังค์สามารถใช้อธิบายการแผ่รังสีของวัตถุดำได้ แต่พลังค์และนักฟิสิกส์สมัยนั้นยังไม่แน่ใจในความถูกต้องของความคิดเกี่ยวกับควอนตัมของพลังงาน เนื่องจากความคิดใหม่นี้ขัดแย้งกับความรู้จากฟิสิกส์แผนเดิม (classical physics) ที่ยอมรับว่าพลังงานของการแผ่รังสีมีค่าอะไรก็ได้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1905 ไอน์สไตน์ประสบความสำเร็จในการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก โดยใช้ความคิดเรื่องควอนตัมของพลังงาน นักฟิสิกส์จึงยอมรับว่า พลังงานในการแผ่รังสีมีค่าไม่ต่อเนื่องตามแนวความคิดของพลังค์
อนุกรมของสเปกตรัม
เมื่ออะตอมของธาตุเปลี่ยนระดับพลังงานจากสถานะถูกกระตุ้นมาสู่ระดับที่มี
พลังงานน้อยลง จะปล่อยสเปกตรัมของอะตอมออกมา
พลังงานน้อยลง จะปล่อยสเปกตรัมของอะตอมออกมา
การเปลี่ยนระดับพลังงานของอะตอมมีผู้ศึกษาหลายคน จึงมีหลายชุด เรียกว่าอนุกรมของเส้นสเปกตรัม
ในบรรดาอนุกรมเส้นสเปกตรัม ชุดแรกที่ค้นพบ เป็นชุดของบัลเมอร์ เพราะเป็นชุดที่ตามองเห็นได้ ส่วนที่อื่นๆต้องมีเครื่องมือช่วยจึงจะทราบว่ามีการปลดปล่อย
อนุกรมเส้นสเปกตรัมที่ดังนี้
1. อนุกรมเส้นสเปกตรัมของไลมาน เป็นการเปลี่ยนระดับพลังงานจากระดับสูงมาสิ้นสุดลงที่ระดับพลังงานที่ระดับ 1 อนุกรมชุดนี้จะให้สเปกตรัมที่อยู่ในช่วงรังสีอุลตราไวโอเลต
![]() |
2. อนุกรมเส้นสเปกตรัมของบัลเมอร์ เป็นการเปลี่ยนระดับพลังงานจากระดับสูงมาสิ้นสุดลงที่ระดับพลังงานที่ระดับ 2 อนุกรมชุดนี้จะให้สเปกตรัมที่อยู่ในช่วงแสง ตาเราจึงมองเห็นได้
3. อนุกรมเส้นสเปกตรัมของพาสเซน เป็นการเปลี่ยนระดับพลังงานจากระดับสูงมาสิ้นสุดลงที่ระดับพลังงานที่ระดับ 3 อนุกรมชุดนี้จะให้สเปกตรัมที่อยู่ในช่วงรังสี-อินฟราเรด

4. อนุกรมเส้นสเปกตรัมของแบรกเกท เป็นการเปลี่ยนระดับพลังงานจากระดับสูงมาสิ้นสุดลงที่ระดับพลังงานที่ระดับ 4 อนุกรมชุดนี้จะให้สเปกตรัมที่อยู่ในช่วงรังสี
อินฟราเรด
อินฟราเรด
![]() |
5. อนุกรมเส้นสเปกตรัมของฟุนด์ เป็นการเปลี่ยนระดับพลังงานจากระดับสูงมาสิ้นสุดลงที่ระดับพลังงานที่ระดับ 5 อนุกรมชุดนี้จะให้สเปกตรัมที่อยู่ในช่วงรังสี
อินฟราเรด
อินฟราเรด
![]() |
เพิ่มคำอธิบายภาพ |
อนุกรมเส้นสเปกตรัมแต่ละชุด จะพบว่าเส้นแรกของแต่ละชุดจะเป็นที่มีความยาวคลื่นมากที่สุด เส้นถัดออกไปความยาวคลื่นจะลดลงเรื่อยๆ
สูตรการหาความยาวคลื่นของเส้นสเปกตรัม
= RH(
-
).



ทฤษฎีของบอร์เกี่ยวกับอะตอมไฮโดรเจน
ในปี 1913 นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์กชื่อ นีล บอร์ (Niels Bohr) (1885 - 1962) สามารถอธิบายสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนได้โดยขยายคำอธิบายโครงสร้างอะตอมของรัทเธอร์ฟอร์ด (Rutherford) ในแบบจำลองนั้น อีเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบโดคจรรอบนิวเคลียสที่มีประจุบวกด้วยแรงดึงดูดทางไฟฟ้าตามกฎของคูลอมบ์ (Coulomb)
แต่อีเล็กตรอนไม่อาจถือเป็นอนุภาคได้เท่านั้น แต่ยังอาจเป็นคลื่นเดอบรอย (de Broglie) ที่แทรกสอดกันเองได้ด้วย วงโคจรจะมีเสถียรภาพถ้าเป็นไปตามเงื่อนไขของคลื่นนิ่งคือ : เส้นรอบวงต้องมีความยาวเป็นจำนวนเต็มเท่าของความยาวคลื่น ผลที่ตามมาก็คือ ค่าของรัศมีวงโคจรและพลังงานของอีเล็กตรอนจะเป็นได้เพียงค่าเฉพาะบางค่าเท่านั้น
ตามทฤษฎีแบบดั้งเดิม ประจุที่มีความเร่งสู่ศูนย์กลางในวงโคจรรูปวงกลมควรจะต้องปล่อยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง และสูญเสียพลังงานไปเรื่อยๆ อีเล็กตรอนจึงน่าจะเคลื่อนที่เป็นเกลียวเข้าไปสู่นิวเคลียสในไม่ช้า แต่อีเล็กตรอนในแบบจำลองของบอร์ไม่ปลดปล่อยพลังงานตราบเท่าที่ค่าพลังงานเป็นค่าเฉพาะที่กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตาม อีเล็กตรอนที่ไม่ได้อยู่ในระดับพลังงานต่ำสุด (n = 1) สามารถเปลี่ยนไปอยู่ในสถานะที่ระดับต่ำกว่าโดยปล่อยพลังงานส่วนที่แตกต่างกันออกมาในรูปของโฟตอน (อนุภาคของแสง) เมื่อคำนวณความยาวคลื่นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สอดคล้องกันออกมา ก็จะได้ผลลัพธ์เหมือนกับที่ได้จากการวัดเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน
เรายังไม่อาจถือเอาความคิดเกี่ยวกับการโคจรของอีเล็กตรอนรอบนิวเคลียสว่าเป็นจริงเสียทีเดียว แบบจำลองของบอร์เกี่ยวกับอะตอมไฮโดรเจนเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งที่จะนำไปสู่ทฤษฎีที่ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโครงสร้างของอะตอมที่อธิบายด้วยกลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics) และแม่เหล็กไฟฟ้าควอนตัม (quantum electrodynamics)
โปรแกรมแสดงอะตอมไฮโดรเจนตามแบบจำลองของอนุภาค (particle) หรือคลื่น (wave) ที่สามารถเลือกค่าเลขควอนตัมหลัก n (Principal quantum number) จากรายการในกรอบข้อความ ด้านขวาของรูปกราฟแสดงระดับพลังงานของอะตอม ส่วนด้านล่างจะเห็นค่ารัศมีวงโคจร (r) และพลังงาน (E) ปรากฏอยู่
ถ้าลองพยายามแปรค่ารัศมีด้วยการใช้เมาส์ลากอีเล็กตรอนออกไป โดยทั่วไปจะนำไปสู่สถานะที่ไม่เสถียร หากใช้ตัวเลือก "Wave model": จะพบว่าเส้นที่เป็นลูกคลื่นสีเขียวซึ่งแทนคลื่นเดอบรอยจะไม่เป็นเส้นปิด สถานะคงตัวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อความยาวของเส้นรอบวงเป็นจำนวนเต็มเท่าของความยาวคลื่น (สีน้ำเงิน) เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น